วิเคราะห์จากตารางครับ เดือน มกราคม - เมษายน กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ ใช้ไป 16.3 % หรือ 215,000 ตัน
จากยอดรถที่มีในประเทศประมาณ 1.2 ล้านคันสะสมทั้งรถยนต์บ้านและแท็กซี่ สามล้อ รถป๊อกๆ สองแถว ยอดนี้สะสมมาเกือบ 30 ปีก็ว่าได้
หากเดือน พฤษภาคม ถึง เดือน กรกฏาคม ปีนี้มียอดรถยนต์ติดแก็สเฉลี่ยนเดือนละ 1 แสนคัน รวม 3 แสนคัน
ก็ไม่ได้หมายความว่า กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ จะใช้แก๊ส LPG เพิ่มจาก 16% เป็น 30 % แต่อย่างใด ครัย

โครงสร้างราคาแบบนี้ จะเป็นธรรมทั้งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และ หน่วยงานที่ควบคุมพลังงาน มากที่สุด และเป็นการช่วยเหลือประชาชนมากที่สุด โดยยกเลิกเงินสมทบกองทุนน้ำมันไปเลย เพราะ ผู้ใช้รถยนต์ ใช้น้ำมันเบนซิน 95 และ91 อยู่แล้วต้องนำเงินเข้ากองทุน 3.05-3.685 บาทต่อลิตร (ดูตารางแรกครับ) และอีกอย่าง ครัวเรือนคือคนไทยทั้งประเทศที่ต้องใช้แก๊สหุงต้มไม่จำเป็นต้องนำเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ไม่ยุติธรรมสำหรับครัวเรือน ควรจะยกเลิกไปเลย ราคาแก๊สจะลดลง กก.ละ 0.33 บาท เลยทีเดียว เพราะ ราคานี้ยังถูกบวกค้าขนส่งต่อถังจากร้านค้าถึงบ้านอีกถังละ 5 บาท ครับ เงินที่เหลือจากกองทุน LPG ซึ่งจะเก็บในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมนั้น ยังสามารถนำไปเป็นงบประมาณแผ่นดิน ทุกปีได้อีก ส่วนครัวเรือน ขอให้ยกเลิก การเก็บเงิน 0.33 บาทต่อกิโลกร้ม เพื่อนำเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งไม่ยุติธรรม กับภาครัวเรือน

ในหลักการไม่ควรมีการเก็บภาษีสรรพสามิตจากก๊าซ LPG ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม ควรเก็บเฉพาะที่ใช้กับยานพาหนะ และเนื่องจากก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด และก่อให้เกิดมลพิษน้อยกว่าน้ำมันเตา ประกอบกับกำลังผลิตก๊าซ LPG ในปัจจุบันสูงกว่าความต้องการใช้ในประเทศ จึงควรส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซ LPG แทนการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหรือใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซ LPG ให้ต่ำลง

http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-065.htm
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2007/12/I6128178/I6128178.html
http://www.consumerthai.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=739&Itemid=86